หน้าหลัก | สุขภาพดี | สุภาพสตรี | การแปลผลเลือด | โรคต่างๆ | วัคซีน
สารบัญ
งูกะปะ หรือ Malayan pit viper (Calloselasma rhodostoma) เป็นงูพิษที่มีอันตรายสูง พบได้ทั่วไปในประเทศไทย พิษของงูกะปะมีผลต่อระบบเลือด ทำให้เกิดอาการเลือดออกผิดปกติ และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
ลักษณะของงูกะปะ
โดยทั่วไปแล้วพวกเขาจะหลีกเลี่ยงการสัมผัสของมนุษย์ แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้ ซึ่งนําไปสู่สถานการณ์ที่อาจเป็นอันตราย การทําความเข้าใจผลกระทบของงูพิษมลายูกัดและการรู้วิธีตอบสนองอย่างทันท่วงทีสามารถช่วยชีวิตได้ เอกสารนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ข้อมูลที่ครอบคลุมเกี่ยวกับการกัดงูพิษหลุมมลายู รวมถึงอาการ การรักษา และมาตรการป้องกัน
งูกะปะเป็นงูพิษพบได้ทั่วประเทศ พิษงูกะปะจัดเป็นพวกมีพิษทางโลหิต hemotoxinทำให้เกิดอาการแสดงคล้ายงูแมวเซาแต่รุนแรงน้อยกว่า
อาการทั่วไป: คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง เลือดออกง่ายผิดปกติ เช่น เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน
มีโลหิตตามอวัยวะต่างๆในราว 3 ชั่วโมง ผิวหนังมีเลือดออกเป็นรอยคล้ำ เลือดออกทางเดินอาหาร เลือดออกตามไรฟัน ผู้ป่วยอาจเสียชีวิตจากความดันโลหิตต่ำ
การปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อถูกงูกะปะกัด
การรักษา
ข้อควรระวังและวิธีป้องกัน
ข้อควรจำ: หากถูกงูกะปะกัด ห้ามกรีดบาดแผล ดูดพิษ หรือใช้สมุนไพร เพราะอาจทำให้อาการแย่ลงได้ ควรรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันที
การรู้จักลักษณะของงูกะปะ และวิธีป้องกัน จะช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกงูกะปะกัดได้ หากถูกกัด อย่าลืมปฐมพยาบาลเบื้องต้น และรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด
บทสรุป: แม้ว่างูพิษมลายูกัดอาจร้ายแรง แต่การดูแลทางการแพทย์ที่รวดเร็วและเหมาะสมช่วยปรับปรุงผลลัพธ์ได้อย่างมาก การรับรู้อาการ และการใช้มาตรการป้องกัน บุคคลสามารถลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับงูพิษเหล่านี้ได้ การวิจัย การศึกษา และความตระหนักรู้ของชุมชนอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสําคัญในการจัดการงูพิษมลายูกัดอย่างมีประสิทธิภาพ และลดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน
ดูการรักษางูเขียวหางไหม้กัด
หน้าหลัก ชนิดของู พิษของงู การดูแลเบื้องต้น การประเมินความรุนแรง การรักษา การให้เซรุ่ม งูเห่า งูจงอาง งูสามเหลี่ยม งูกะปะ งูแมวเซา งูเขียวหางไหม้ รายละเอียดงูพิษกัด
ทบทวนวันที่ 15/62554
โดย นายแพทย์ ประพันธ์ ปลื้มภาณุภัทร อายุรแพทย์,แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว