งูเห่ากัด:อาการ,ปฐมพยาบาล,และการรักษาฉุกเฉิน
งูเห่ากัด: ทำความเข้าใจกับอันตรายและขอความช่วยเหลือ
งูเห่าเป็นงูพิษที่ขึ้นชื่อเรื่องพิษพิษต่อระบบประสาทการถูกกัดทำให้เกิดเหตุฉุกเฉินทางการแพทย์ที่ร้ายแรง และต้องได้รับการดูแลทันที งูเห่าพบมากในภาคกลาง บริเวณกรุงเทพ สมุทรปราการ อยุธยา อ่างทอง ลพบุรี มักอยู่ตามป่าและท้องนา ดังนั้นคนที่ถูกกัดบ่อยคือชาวนา ลักษณะที่สำคัญของมันคือเมื่อโกรธมันจะแผ่แม่เบี้ย ชูคอสูงและฉกกัดอย่างรวดเร็ว ยกเว้นเมื่อตกใจมันจะฉกกัดทันทีโดยไม่แผ่แม่เบี้ย ตำแหน่งที่ถูกกัดมักเป็นที่มือและเท้า พิษของงูเห่าเป็นพิษต่อระบบประสาท Neurotoxin และมีพิษทำลายเนื้อเยื่อ
เมื่อไรจึงรู้ว่าถูกงูเห่ากัด
- รอยเจาะ: มองหารอยเจาะเล็กๆ สองรอยจากเขี้ยวของงูเห่า
- ความเจ็บปวดและอาการบวม: บริเวณที่ถูกกัดมักจะเจ็บปวดและบวม
- อาการทางระบบประสาท: งูเห่าส่งผลต่อระบบประสาทส่งผลให้:
- มองเห็นภาพซ้อนหรือภาพซ้อน
- กลืนหรือพูดลำบาก
- เปลือกตาตก
- กล้ามเนื้ออ่อนแรง
- หายใจลำบาก (ในกรณีที่รุนแรง)
พิษเฉพาะที่ [local poisoning] งูเห่ากัด
- มีอาการเสียวแปลบเกิดขึ้นทันทีตรงบริเวณที่ถูกงูเห่ากัด ต่อมาจะปวดเล็กน้อย อาการปวดจะเพิ่มมากขึ้น มักจะมีรอยเขี้ยวพิษ 2 จุด มีเลือดออกซิบๆ ถ้ารอยเขี้ยวห่างกันมากแสดงว่างูที่กัดมีขนาดใหญ่
- หลังจากนั้น 30 นาทีบริเวณรอยเขี้ยวจะบวมเล็กน้อย และบวมมากขึ้นช้าๆเฉพาะรอบๆแผลเท่านั้น
พิษโดยทั่วไป [Systemic poisoning ] งูเห่ากัด
- หลังจากงูกัด 30นาที-5 ชั่วโมงเริ่มเกิดอาการแรกคือ เวียนหัว แขนขาไม่มีแรง และง่วงนอนลืมตาไม่ขึ้น หนังตาตก
- ลืมตาไม่ขึ้นซึ่งตอนแรกอาจจะเกิดขึ้นทีละข้างก่อน ข้อนี้ถือเป็นเกณฑ์ในการวินิจฉัย ถ้าเจอผู้ป่วยระยะนี้ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที
- ตามองไม่ชัด
- ต่อมาอาการจะเพิ่มมากขึ้น แขนขาหมดแรง ตาหรี่มากขึ้นกระวนกระวาย ลิ้นแข็ง พูดอ้อแอ้น้ำลายมากเพราะกลืนลำบาก
- เริ่มมีอัมพาตของกล้ามเนื้อที่ใช้ในการกลืนอาหาร อ้าปากไม่ขึ้น
- หายใจอึดอัด กระสับกระส่ายเพราะมีอัมพาตของกล้ามเนื้อที่ช่วยในการหายใจ
- coma หยุดหายใจ และตาย
ตั้งแต่ถูกงูกัดจนกระทั่งหยุดหายใจอาจกินเวลาประมาณ 8-24 ชั่วโมงขึ้นกับปริมาณของพิษงูที่ได้รับ ถ้าได้รับพิษมากอาจเกิดอาการใน 1 ชั่วโมง หลังจากถูกงูกัด 1ชั่วโมงถ้ายังไม่เกิดอาการบวมและเมื่อถึง 2 ชั่วโมงก็ยังไม่มีอาการแต่อย่างใดย่อมแสดงว่าไม่มีพิษทั่วไป
การปฐมพยาบาลทันที
- ใจเย็น ๆ: การตื่นตระหนกอาจทำให้อาการแย่ลงและเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจได้
- ตรึงบริเวณนั้น: รักษาแขนขาที่ถูกกัดให้อยู่นิ่งๆ และต่ำกว่าระดับหัวใจเพื่อชะลอการแพร่กระจายของพิษ
- ขอความช่วยเหลือจากแพทย์ทันที: โทรเรียกบริการฉุกเฉินหรือไปโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด
การรักษาพิษงูเห่า
- การรักษาแผลไม่จำเป็นต้องกรีดแผลหรือกว้านแผล ถ้าตุ่มใสขนาดเล็กไม่ต้องเจาะแต่ถ้าเป็นตุ่มขนาดใหญ่ให้เจาะดูดออกโดยใช้เข็มโดยวิธีปลอดเชื้อ ไม่ให้ถูกฐานของแผล ถ้าแผลสกปรกควรฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยัก
- การให้ยาปฏิชีวนะควรให้ทุกรายเนื่องจากมีเชื้อในปากงู ยาที่ควรให้ได้แก่ pen v 250 mgวันละ 4-8 เม็ด
- การให้ serum แก้พิษงูควรให้ในรายที่มีอาการดังต่อไปนี้
- พูดอ้อแอ้ พูดไม่ชัด ลิ้นคับปาก
- กลืนไม่ค่อยลง
- หายใจขัด
- หายใจไม่ออก
- หยุดหายใจ
การป้องกัน
- ระวังสิ่งรอบตัว: ระวังงูในถิ่นที่อยู่ตามธรรมชาติโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเดินป่าหรือตั้งแคมป์
- สวมชุดป้องกัน: รองเท้าบูทและกางเกงขายาวสามารถให้การป้องกันได้
- อย่ายั่วยุงู: รักษาระยะห่างที่ปลอดภัยและหลีกเลี่ยงการพยายามจับงู
- ระวังในเวลากลางคืน: งูจะเคลื่อนไหวมากขึ้นหลังจากมืดใช้ไฟฉายและระมัดระวังเป็นพิเศษ
ข้อมูลเพิ่มเติม
- ประเภทของงูเห่า:มีงูเห่าหลากหลายสายพันธุ์ซึ่งแต่ละชนิดก็มีพลังพิษที่แตกต่างกันออกไป
- แหล่งข้อมูลท้องถิ่น:ทำความคุ้นเคยกับสถานพยาบาลและผู้เชี่ยวชาญด้านงูกัดในพื้นที่ของคุณ
- ชุดงูกัด:พิจารณาพกอุปกรณ์ป้องกันงูไปด้วยหากคุณอยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง
ข้อสงวนสิทธิ์
ข้อมูลนี้ไม่สามารถใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์จากผู้เชี่ยวชาญได้ควรไปพบแพทย์ทันทีหลังถูกงูกัด
กลับหน้าเดิม
หน้าหลัก ชนิดของู พิษของงู การดูแลเบื้องต้น การประเมินความรุนแรง การรักษา การให้เซรุ่ม งูเห่างูจงอาง งูสามเหลี่ยม งูกะปะ งูแมวเซา งูเขียวหางไหม้ รายละเอียดงูพิษกัด