ถุงยางคุมกำเนิด
การคุมกำเนิดมีได้หลายวิธีคือ IUD การใส่ห่วง, diaphragmถุงยางอนามัยสำหรับผู้หญิง, cervical cap และยาคุมกำเนิด pill แต่การใช้ถุงยางอนามัยสามารถป้องกันทั้งการตั้งครรภ์์ และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้แก่โรค AIDS, chlamydia, genital herpers, genial warts, gonorrhea, hepatitis B, and syphilis ไม่ว่าจะมีเพศสัมพันธ์ทางปาก ช่องคลอด หรือทางทวารหนัก
การป้องกันโรคติดต่อที่ได้ผลดีคือ
- การงดการมีเพศสัมพันธ์
- การมีสามีหรือภรรยาคนเดียว
- การสวมถุงยางอนามัยซึ่งไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ 100% แต่ลดอุบัติการณ์ของการติดเชื้อลงได้อย่างมาก
ข้อควรระวังการคุมกำเนิดชนิดอื่นคุมได้เฉพาะการตั้งครรภ์ไม่สามารถป้องการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ ดังนั้นหากจะมีเพศสัมพันธ์กับคนที่เราไม่ทราบว่ามีการติดเชื้อโรคหรือไม่ต้องสวมถุงยางอนามัยทุกครั้ง หากไม่ยอมสวมก็ให้ปฏิเสธการมีเพศสัมพันธ์ทันที
ใครที่ต้องสวมถุงยางอนามัย
- ผู้ที่ต้องการคุมกำเนิด
- ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับคนที่สำส่อนทางเพศ ไม่ว่าจะทางปาก ทางช่องคลอด หรือทางทวารหนัก หากไม่ทราบว่าเขาติดเชื้อหรือไม่ต้องสวมถุงยางอนามัยทุกครั้ง
- ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับคนที่ฉีดยาเสพติดเข้าเส้น
- ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่ทราบว่าเขาติดเชื้อหรือไม่ ให้ป้องกันตัวเองไว้ก่อนเสมอโดยการสวมถุงยาง
การสวมถุงยางปลอดภัย 100% หรือไม่
- การสวมถุงยางไม่สามารถกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้
100% แต่สามารถลดอุบัติการณ์ติดเชื้อได้อย่างมาก
การใช้ถุงยางอนามัยให้ปลอดภัยสูงสุด
- ถุงยางอนามัยควรทำจากยางธรรมชาติ(หนังแกะไม่สามารถป้องกันโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์)
- ต้องดูฉลากว่าระบุคุณสมบัติป้องกันโรคติดเชื้อได้หรือไม่
หากไม่ได้ระบุก็อนุโลมว่าป้องกันโรคติดเชื้อไม่ได้ไว้ก่อน
- ถุงยางอนามัยที่ไม่สามารถคลุมตลอดความยาวของอวัยวะเพศชายไม่สามารถป้องกันโรคติดเชื้อ
- ต้องเก็บในที่เหมาะสม ไม่ร้อนเกินไป
ไม่เก็บไว้ในกระเป๋ากางเกง ไม่ให้ถูกแสง ให้ใส่ในกระเป๋าหลวมๆ
- ถุงยางใช้เพียงครั้งเดียว
- ต้องใช้ให้ถูกวิธี การแกะถุงยางไม่ใช้ปาก
กรรไกร หรือเล็บ เพราะอาจจะทำให้ถุงยางฉีกขาด
- ห้ามใช้ vasalin baby oil
หรือ cold cream ในการหล่อลื่นเพราะจะทำให้ถุงยางเสื่อมรั่วและฉีกขาดได้
ถุงยางอนามัยเหมาะสำหรับการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักหรือไม่
- เนื่องจากการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักจะเกิดแรงเสียดสีมาก
และเกิดเลือดออกได้ง่ายจึงไม่ปลอดภัยพอ
ใช้สารหล่อลื่นอย่างไร
- ถุงยางอนามัยส่วนใหญ่จะเคลือบด้วยสารหล่อลื่นแล้ว
หากท่านซื้อถุงยางอนามัยที่ไม่มีสารหล่อลื่นก็ควรจะซื้อสารหล่อลื่น เพื่อลดอาการเสียดสีซึ่งอาจจะทำให้เกิดแผลหรือถุงยางแตกอันจะก่อให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย
แต่สารหล่อลื่นต้องเป็นชนิดน้ำเท่านั้น ห้ามใช้สารหล่อลื่นที่มีส่วนผสมของไขมันโดยเด็ดขาด
เช่น vasaline, baby oil ,lotion ทามือหรือลำตัว ,cold cream เพราะจะทำให้ถุงยางเสื่อมสภาพ
การใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้องทำอย่างไร
- ใช้ถุงยางอนามัยใหม่ทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
- หากยังไม่ได้ขลิบอวัยวะเพศ
ให้รูดหนังอวัยวะเพศเพื่อเปิดให้ปลายอวัยวะวะเพศสัมผัสกับถุงยาง
- ให้ใส่ถุงยางขณะที่อวัยวะเพศแข็งตัว
ก่อนการมีเพศสัมพันธ์
- หากต้องการใส่ยาฆ่า sperm
ให้บีบใส่ตรงปลายถุงยาง
- หากปลายถุงยางไม่มีถุงสำหรับเก็บเชื้อ
ให้ดึงปลายถุงยางเพื่อให้มีพื้นที่สำหรับเก็บเชื้อสักครึ่งนิ้ว
- ให้ม้วนถุงยางจนถึงโคนอวัยวะเพศ
- หากสงสัยว่าถุงยางแตก ให้หยุดการมีเพศสัมพันธ์ทันที
- เมื่อถุงจุดหมายแล้ว ให้ใช้มือบีบปลายถุงยาง
และดึงอวัยวะเพศออกพร้อมถุงยางในขณะที่อวัยวะเพศยังแข็งอยู่
- ดึงถุงยางออกจากอวัยวะเพศ
อย่าให้เชื้อหก
- นำถุงยางใส่กระดาษและนำไๆปทิ้งในถังขยะ
- ล้างมือ ฟอกสบู่
- ข้อสำคัญการดื่มสุรา หรือเสพยาเสพติดอาจจะทำให้การตัดสินใจ หรือการสวมถุงยางไม่ถูกต้องซึ่งอาจจะก่อให้เกิดปัญหาตามมา
|
จับปลายถุงยางและไล่ลมออกให้หมด หากเป็นถุงยางที่ไม่มีที่เก็บน้ำเชื้อต้องเหลือพื้นที่สำหรับเก็บน้ำเชื้อ |
|
ม้วนถุงยางลงคลุมตลอดอวัยวะเพศใหคลุมถึงโคนอวัยวะเพศ |