ยารักษาโรคกระเพาะ Ranitidine
เป็นผลสีเหลืองมีชื่อว่า Ranidine hydrochloride น้ำหนัก 168 มิลิกรัมจะเท่ากับ
Ranidine 150 มิลิกรัม ยาตัวนี้ออกฤทธิ์โดยการกั้นที่ Histamune 2 receptor
{H2-antagonist}มีข้อบ่งชี้ในการใช้ยาดังนี้
- ใช้ในการรักษาแผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้น doudenum โดยใช้เวลาประมาณ 8 สัปดาห์
อาจจะให้ร่วมกับยากระเพาะชนิดอื่นเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวด
- ใช้รักษาต่อเนื่องเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำของแผลในกระเพาะอาหาร gastric
ulcer แผลลำไส้เล็กส่วนต้น duodenum ulcer
- ใช้ในภาวะที่มีการหลั่งของกรดมากเช่น Zollinger=Ellison syndrome
ขนาดยาและวิธีการใช้ยา
ยานี้มักจะให้รับประทานวันละครั้ง หรือวันละ 2-4 ครั้งตามดุลพินิจแพทย์ ยานี้จะรับประทานก่อนหรือหลังอาหารก็ได้ หากใช้ป้องกันอาการแน่นท้องที่เกิดจากกรดไหลย้อนก็ให้รับประทานยา 30 ถึง 60 นาทีก่อนที่จะดื่มหรือรับประทานอาหารที่กระตุ้นให้เกิดอาการปวดท้อง
อาหารหรือเครื่องดื่มบางประเภทอาจจะทำให้อาการมากขึ้นซึ่งควรจะหลีกเลี่ยงอาหารดังต่อไปนี้ peppermint, มะเขือเทศ โชคโคแลต chocolate อาหารเผ็ด ของร้อน กาแฟ สุรา
ยานี้มีขายในรูปยาเม็ดธรรมดาและยาเม็ดฟองฟู่ขนาด 150 และ 300 มก. ยาน้ำเชื่อมความแรง 150 มก./10 มล. และยาฉีดความแรง 50 มก./2 มล หากท่านซื้อยารับประทานเองก็ไม่ควรรับประทานยาเกิน 2 สัปดาห์ หากไม่ดีขึ้นให้ปรึกษาแพทย์
- แผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น ขนาดใช้ยาปกติคือ 150 มก. วันละ 2 ครั้งหลังอาหารเช้าและเย็น หรือให้ 300 มก.ก่อนนอน ติดต่อกัน 4 สัปดาห์ แล้วลดขนาดยาเหลือเป็น 150 มก. วันละครั้งก่อนนอน 2-4 สัปดาห์
- ภาวะอาหารไม่ย่อยซึ่งมีสาเหตุมาจากกรดเกิน ให้รับประทานวันละ 2 ครั้ง ๆ ละ 150 มก. นานไม่เกิน 4 สัปดาห์
- แผลกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กส่วนต้นจะใช้ขนาด 150 มิลิกรัมวันละ 2
ครั้งหรืออาจจะได้รับ 100 มิลิกรัมวันละ 2 ครั้งก็ได้ผล ผู้ป่วยร้อยละ
37 แผลจะหายหลังการใช้ยา 2 สัปดาห์ หากไม่ได้ส่องกล้องเพื่อตรวจว่าแผลหายหรือไม่แนะนำให้รับประทานยา
4 สัปดาห์ บางรายอาจจะต้องให้ต่อเนื่อง 8 สัปดาห์
- ในผู้ป่วยที่มีการหลั่งกรดมากต้องให้ยาขนาดมากกว่าปกติคืออาจจะให้ 150
มิลิกรัม วันละ 3 ครั้งบางคนอาจจะต้องให้ถึงวันละ 600-900มิลิกรัม
- ผู้ป่วยสูงอายุหรือมีโรคไตต้องลดขนาดของยาลง เพื่อป้องกันการสะสมของยา
- สำหรับผู้ที่ได้รับยาลดกรดชนิดน้ำต้องรับประทานห่างกัน 1 ชั่วโมงคือให้รับประทานยา
ranidine ทันทีหลังอาหาร อีกหนึ่งชั่วโมงจึงจะรับประทานยาลดกรดชนิดน้ำ
เพราะยาลดกรดชนิดน้ำจะลดการดูดซึมของ ranidine
ข้อบ่งชี้ในการใช้ยา
จะต้องแจ้งแพทย์เรื่องอะไรบ้างก่อนจะรับประทานยานี้
- การแพ้ยาโดยเฉพาะยา ranitidine
- ยาที่ท่านรับประทานทั้งซื้อเอง วิตามิน สมุนไพร และยาที่แพทย์สั่งโดยเฉพาะ warfarin (Coumadin) และ triazolam (Halcion)
- แจ้งแพทย์หากท่านมีโรคตับ โรคไต porphyria, phenylketonuria
- แจ้งแพทย์หากท่าวางแผนตั้งครรภ์ หรือกำลังตั้งครรภ์หรือกำลังเลี้ยงลูกด้วยนม
ผลข้างเคียงของยา ranitidine
- ปวดศีรษะ
- ท้องผูก
- ท้องร่วง
- คลื่นไส้
- อาเจียน
- ปวดจุกแน่ลิ่มปี่
ความปลอดภัยของยานี้ในสตรีมีครรภ์
สำหรับสตรีมีครรภ์ ยานี้จัดอยู่ในประเภท B
ข้อควรระวังหรือข้อห้ามใช้
- ต้องตรวจให้แนะใจว่าไม่ใช่มะเร็งกระเพาะก่อนจะให้ยา เนื่องจากอาจจะทำให้การรักษาช้า
- ต้องระวังในหญิงมีครรภ์หรือขณะให้นมบุตร
- ผู้ป่วยโรคไตหรือสูงอายุต้องลดขนาดยาลง
ปฏิกิริยาของยาต่อยาชนิดอื่น
- ยานี้จะยับยั้งการทำลายของยา warfarin theophyllin ethanol ดังนั้นต้องระวังหากจะใช้ร่วมกัน
- ยานี้จะลดกรดทำให้กระเพาะเป็นรดน้อย อาจจะทำให้การดูดซึมของยาบางชนิดลดลง
- ยานี้ขับออกทางไต อาจจะทำให้การขับยาบางอย่างลดลง
- การสูบบุหรี่จะทำให้แผลหายน้อยลง
คำแนะนำสำหรับผู้ที่ใช้ยานี้
- ควรจะรับประทานยาสม่ำเสมอจนครบ หากลืมให้รับประทานทันที่ที่นึกขึ้นได้
- ถ้าจะรับประทานยาลดกรดชนิดน้ำให้รับประทานห่างกันหนึ่งชั่วโมง
- ควรจะรับประทานต่อแม้ว่าจะเริ่มรู้สึกว่าดีขึ้น
- หากมีไข้เจ็บคอหรือมีผื่นขึ้นต้องแจ้งแพทย์
- หากมีท้องผูกคลื่นไส้ก็ไม่ต้องหยุดยาเพราะอาการดังกล่าวหายได้เอง
ยาน้ำแก้โรคกระเพาะ | ยาระบาย | ยาแก้คลื่นไส้อาเจียน | ยา cisapride | ยา hyocyamine | ยาแก้กระเพาะกลุ่ม PPI | ยาขับลม | sucralfate | ranitidine | nizatidine | cimetidine | famotidine | ยาแก้ท้องเสีย | Esomeprazole | lansoprazole | Omeprazole | Misoprostol